(บทความอ้างอิงจากนิตยสาร Highland ฉบับเดือนมกราคม 2016 (issue01) หน้าที่ 16-19)
(บทความโดย : รัฐพล แสนรักษ์)
ค.ศ. 1915-1927 : มลรัฐต่างๆในอเมริกาเริ่มมีการใช้กัญชาเพื่อความเพลิดเพลินแต่ยังคงอนุญาตให้ใช้เป็นยาได้ เริ่มตั้งแต่แคลิฟอร์เนีย (1915) เท็กซัส (1919) หลุยเซียน่า (1924) และนิวยอร์ค (1927)
ค.ศ. 1920 : สหรัฐอเมริกาประกาศให้แอลกอฮอล์เป็นสิ่งผิดกฎหมายโดยห้ามผลิต มีไว้ในครอบครองและห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทเหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของโลกในการทำให้สิ่งมึนเมาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
การทำให้แอลกอฮอล์ผิดกฎหมาย ทำให้เกิดผลกระทบที่ตามมาอย่างกว้างขวางในสังคม การลักลอบผลิตแอลกอฮอล์กลายเป็นธุรกิจกำไรงามที่ผู้คนพร้อมจะละเมิดเพียงเวลาไม่นานจากผู้ผลิตเหล้าเถื่อนธรรมดา ยกระดับขึ้นมาเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพล มีอาวุธ และมีอำนาจเงินมหาศาล กฎหมายการห้ามแอลกอฮอล์กลายเป็นเพียงกระดาษเปล่าเมื่อเงินจากธุรกิจมืดสามารถซื้อเจ้าหน้าที่และกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเบ็ดเสร็จ จนเกิดภาวะการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ยุติธรรมเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มอำนาจผูกขาดตลาดมืดไปในที่สุด กระบวนการเรียกร้องให้แอลกอฮอล์ถูกกฎหมายจึงเริ่มขึ้นในช่วงปลายยุค 1920 เมื่อมีประชาชนจำนวนมากออกมาเรียกร้องสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายจนในที่สุดยุคของแอลกอฮอล์ผิดกฎหมายก็สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1933 เหตุการณ์ข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงในสหรัฐอเมริกาแต่เกิดขึ้นกับประเทศที่ทำให้แอลกอฮอล์ผิดกฎหมาย ด้วยสถานการณ์ที่ไม่ต่างกันเช่น Iceland (1915-1933), Norway (1916-1927), Finland (1919-1932) ฯลฯ
ค.ศ. 1934 : หลังจากที่แอลกอฮอล์ถูกกฎหมายเพียง 1 ปี กองปราบปรามยาเสพติดสหรัฐนำโดย Harry J. Anslinger เริ่มมีการขับขยับเพื่อผลักดันให้กัญชาเป็นสิ่งเสพผิดกฎหมายโดยเริ่มต้นจากการเปลี่ยนชื่อกัญชาจากที่เคยใช้คำว่า "Cannabis" ไปเป็น "Marijuana" ที่มาจากภาษาสเปนแม็กซิกันเพื่อทำให้กัญชากลายเป็นสิ่งที่ชาวแม็กซิกันและคนดำใช้ และพยายามเชื่อมโยงอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจากชนชั้นล่างกับอาชญากรรมในประเทศ
ค.ศ. 1935 : Harry J. Anslinger ใช้นโยบายทางด้านสื่อโจมตีกัญชาในรูปแบบต่างๆโดยตัวเค้าออกรายการวิทยุทุกสัปดาห์เพื่อพูดเกี่ยวกับความเลวร้ายของกัญชาที่จะทำร้ายสังคม กัญชาคือฆาตรกร คือสาเหตุของอาชญากรรม คือพืชที่มีรากมาจากนวก รวมทั้งการทำสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ใช้คำชวนเชื่อที่รุนแรงเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับสังคม
ค.ศ. 1936 : ภาพยนตร์เรื่อง Reefer Madness ภาพยนตร์ที่นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับความบ้าคลั่งของการเสพกัญชา การฆาตรกรรม ความรุนแรงทางเพศ ทางภาษา อารมณ์ที่รุนแรงก้าวร้าว ผ่านตัวละครที่เสพกัญชาและได้ถูกนำเข้าฉายทั่วอเมริกาในช่วงนั้นและสร้างมุมมอง ทัศนคติที่มีต่อกัญชาให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ในภายหลังมีการเปิดเผยว่า
การกระทำที่ใส่ร้ายกัญชาของ Harry J. Anglinger เพียงเพราะเค้าต้องการได้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลในการปราบปรามและได้รับผลประโยชน์จากบริษัทยา บริษัทผลิตฝ้าย ฯลฯ ที่มีพืชกัญชาเป็นศัตรูทางเศรษฐกิจ
ค.ศ. 1937 : สภาคองเกรซของอเมริกาออกกฎหมายห้ามการใช้กัญชาทุกรูปแบบไม่เว้นแต่การใช้เส้นใยในอุตสาหกรรม ผู้ใดฝ่าฝืนถือว่าเป็นอาชญากรรมการออกกฎหมายของอเมริกาในครั้งนี้นับเป็นการสร้างแรงสั่นสะเทือนเกี่ยวกับกฎหมาย
กัญชาไปทั่วโลก แม้จะมีเสียงคัดค้านจาก Dr.William C. Woodward ตัวแทนจากสมาคมการแพทย์อเมริกัน (The American Medical Association) คัดค้านจากสภาว่าไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่ากัญชาคือยาเสพติดที่อันตรายและที่มากกว่านั้น การออกกฎหมายในลักษณะนี้จะเป็นการทำให้สูญเสียผลประโยชน์ทางด้านการแพทย์ในการสืบค้นยารักษาโรคจากกัญชา ที่อาจเป็นไปได้ในอนาคตอีกด้วย แต่ก็ถูกปฎิเสธ
ค.ศ. 1938 : บริษัทดูปองค์ (DuPont) จากสหรัฐอเมริกาจดสิทธิบัตรในกระบวนการ การสร้างพลาสติกจากถ่านหินและน้ำมัน และสิทธิบัตรกระบวนการผลิตกระดาษจากเยื่อไม้ซึ่งก่อนหน้ากระดาษที่ใช้ในอเมริกา 70% ผลิตจาก Hemp
ค.ศ. 1940 : ทัศนคติมุมมองและการทำให้กัญชาผิดกฎหมายจากสหรัฐอเมริกาแพร่กระจายไปทั่วโลก
ค.ศ. 1941 : กัญชาถูกลบออกจากตำรับยาและไม่ถูกพิจารณาเป็นยาอีกต่อไปในอเมริกา
ค.ศ. 1951 : สหรัฐอเมริกาเพิ่มความรุนแรงในการลงโทษกรณียาเสพติด
ค.ศ. 1971 : สหรัฐอเมริกามีการแบ่งบัญชียาเสพติดตามความรุนแรงและกัญชาถูกจัดอยู่ในบัญชีที่ 1 คือ ยาเสพติดที่รุนแรงที่สุดโดยไม่มีคุณสมบัติทางยาใดๆ
ค.ศ. 1972 : อดีตประธานาธิบดี Richard Nixon ต้องการเงินในการปราบปรามยาเสพติดจำนวนมาก เค้าจึงมอบหมายให้มหาวิทยาลัยเวอร์จีเนียทำงานวิจัยว่ากัญชานั้นก่อให้เกิดมะเร็งในผู้ใช้เพื่อสนับสนุนความชอบธรรมในการปราบปราม
ค.ศ. 1974 : ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยเวอร์จีเนียเสร็จสิ้นลง และมีผลรายงานว่า THC ในกัญชานั้นเมื่อแปรรูปในแบบที่มีความเข้มข้นสูง จะโจมตีเซลล์มะเร็งในร่างกายและยังคงรักษาเซลล์ที่ดีไว้ได้ ทีมวิจัยสรุปว่ามันอาจเป็นการรักษาสรุปว่ามันอาจเป็นการรักษาโรคที่ถูกต้องสำหรับโรคมะเร็งก็เป็นได้เพราะมันทำงานได้อย่างรวดเร็วและทำงานได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในรายงานยังพูดถึงผลของการใช้กัญชาส่วนบุคคลว่ามีผลกระทบต่อสังคมน้อยนิด และครอบคลุมเรื่องความเข้าใจผิดในหลายๆเรื่อง เมื่อ Nixon ได้ทราบผลของการศึกษาทำให้เขาโกรธจัดเพราะสิ่งที่เขาเฝ้ารอมาตลอด 2 ปี คือรายงานที่สนับสนุนการทำสงครามกับยาเสพติด เขาโยนงานวิจัยทั้งหมดและเรื่องเหล่านี้ถูกปิดยังเอาไว้กว่า 30 ปี ตามกฎการปิดบังความลังของประธานาธิบดีสหรัฐ
ค.ศ. 1999 : รัฐบาลสหรัฐจดสิทธิบัตรกัญชาหมายเลข US6630507 B1 อ้างสิทธิในการใช้กัญชารักษาโรคทางระบบประสาทเช่น อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน โรคหลอดเลือดสมองโรคที่เกิดจาก Oxidative Stress (เซลล์ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ) เช่นโรคหัวใจ, โรคปลายปลอกประสาทเสื่อม, โรคเบาหวาน แต่ในขณะเดียวกันกฎหมายและองค์การอาหารและยายังคงปฎิเสธว่ากัญชาสามารถใช้เป็นยาได้
วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2014
รัฐโคโรราโด (Colorado) ได้เปลี่ยนกัญชาให้ถูกกฎหมายอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้การควบคุมทั้งการผลิต ซื้อขาย และการเสพเป็นสัญญาณแห่งการจบสิ้นยุคมืดของกัญชา และก้าวเข้าสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้ง
💚
อ้างอิง : รูปภาพจากบนลงล่าง
- https://en.wikipedia.org/wiki/Harry_J._Anslinger
- https://cornellsun.com/2019/01/28/sims-that-was-awful-lets-go-again/
- https://pixels.com/featured/2-reefer-madness-baltzgar.html
- https://progresstexas.org/blog/unfair-history-marijuana-laws-minorities